แซร์จ นาบรี้ ใช้เงื่อนไขที่ระบุไว้ในสัญญาค้าแข้งกับทาง แวร์เดอร์ เบรเมน ว่า สามารถย้ายทีมช่วงหน้าร้อนปี 2017 ก่อนเซ็นสัญญาซบ บาเยิร์น มิวนิค ด้วยค่าตัว 8 ล้านยูโร อดีตเด็กปั้น อาร์เซน่อล มีดีกรีดาวยิงสูงสุดของทัพอินทรีเหล็ก ชุดคว้าเหรียญเงินโอลิมปิก 2016 ที่ประเทศบราซิล ก่อนย้ายมาซบ เสือใต้
ด้วยความแข็งแกร่ง และประสบการณ์ของเขา ทำให้เขาพัฒนาจนกลายเป็นอีกหนึ่งแข้งคนสำคัญของ บาเยิร์น มิวนิค ทั้งจ่ายและจบสกอร์ ซึ่ง ฤดูกาลที่ผ่านมาเขาคว้านักเตะยอดเยี่ยมแห่งปีของ เสือใต้ จากการโหวตไปครอง 8 ล้านยูโร ที่ บาเยิร์น มิวนิค จ่ายไป ถือว่าคุ้มมากกับการได้เขามาร่วมทีม ล่าสุดเจ้าตัวก็ทำได้ถึง 4 ประตู จารึกชื่อในประวัติศาสตร์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก เป็นที่เรียบร้อย วันนี้เราจะพาไปทำความรู้จักแข้งเจ้าของท่าทางฉลองทำประตูด้วยท่าทำอาหารรายนี้กัน
แซร์จ นาบรี้ เกิดในเมืองสตุ๊ตการ์ด เยอรมัน โดยมีคุณพ่อเป็นชาว ไอวอรี่ โคสต์ และแม่เป็นชาวเยอรมัน นาบรี้ เริ่มต้นวัยเด็กกับอคาเดมี่เล็ก ๆ ใน เยอรมัน ในปี 1999 ก่อนที่จะพเนจรไปทดสอบฝีเท้ากับหลายอคาเดมี่ และในปี 2006 ย้ายมาเล่นให้กับ อคาเดมี่ สตุ๊ตการ์ด จากนั้น 5 ปีต่อมาตัดสินใจย้ายมาเล่นในเกาะอังกฤษกับอคาเดมี่ อาร์เซน่อล ในขณะที่อายุ 16 ปี ด้วยค่าตัว 100,000 ปอนด์ ก่อนถูกดันขึ้นชุดใหญ่ 1 ปีต่อมา ซึ่งในช่วงที่ นาบรี้ เล่นให้กับทีมช อาร์เซน่อล อายุต่ำกว่า 18 ปี เขาลงเล่นไป 6 เกม และยิงไป 2 ประตู
หลังจากที่ได้รับโอกาสจาก อาร์แซน เวนเกอร์ ให้เลื่อนขึ้นมาเล่นทีมชุดใหญ่ เขาเองก็ยังไม่ได่รับโอกาสมากพอ ในช่วง ปี 2012-2015 ลงเล่นกับทีมชุดใหญ่ อาร์เซน่อล ไปเพียง 10 เกมทำไป 1 ประตูเท่านั้น ในช่วงปี 2015 แม้ว่าไม่อยากย้ายออกจาก อาร์เซน่อล แต่ไม่มีทางเลือก ต้นสังกัดตัดสินใจปล่อย นาบรี้ ออกไปเก็บประสบการณ์กับ เวสต์บรอมวิช อัลเบี้ยน แต่ทว่าดูเหมือน เวนเกอร์ จะคิดผิด นาบรี้ ถูก โทนี่ พูลิส กุนซือของ เวสต์บรอมวิช ว่า ไม่ดีพอที่จะเล่นในพรีเมียร์ลีก ขนาดเล่นทีมสำรองยังโดนเปลี่ยนออก ก่อนโดนส่งตัวกลับไป อาร์เซน่อล และโดนขายออกจากทีมในเวลาต่อมา ให้กับ แวร์เดอร์ เบรเมน
นาบรี้ ย้ายมาเล่นให้กับ แวร์เดอร์ เบรเมน ในปี 2016 ช่วงเดือนสิงหาคม ด้วยค่าตัวตามรายงานเพียง 5 ล้านปอนด์ เท่านั้น ก่อนที่เขาสามารถทำผลงานได้ดีด้วยการคว้ารางวัลดาวซัลโวของ โอลิมปิก ที่บราซิล ในช่วงเดือนกรกฎาคม ปี 2016 ช่วยให้เยอรมันได้เหรียญเงินในปีนั้น หลังจากนั้นเขามีฤดูกาลที่ดีกับ แวร์เดอร์ เบรเมน โชว์ฟอร์มได้อย่างยอดเยี่ยม ลงเล่น 27 เกม ทำไปได้ถึง 11 ประตู ทำให้ บาเยิร์น มิวนิค ยอมจ่ายค่าฉีกสัญญา 8 ล้านปอนด์ กระชากตัวเขาไปร่วมทัพ พร้อมเซ็นสัญญา 3 ปี เมื่อเดือนมิถุนายน ปี 2017
อย่างไรก็ตามหลังจากย้ายมา เขายังคงไม่ได้สวมเสื้อ บาเยิร์น มิวนิค แต่ถูกปล่อยไปให้ ฮอฟเฟ่นไฮม์ ยืมไปใช้ ก่อนที่เขาจะเล่นได้อย่างน่าประทับใจจนช่วยทีมจบอันดับที่ 3 ของลีก ลงเล่น 23 เกม ยิง 10 ประตู หลังจากที่เล่นได้โดดเด่นกับ ฮอฟเฟ่นไฮม์ เขาก็กลับมาที่ บาเยิร์น ในฤดูกาล 2018-2019 ที่ผ่านมา ตอนแรกหลายคนเชื่อว่าจากชื่อชั้นก็น่าจะเป็นแค่ตัวสำรอง แต่ทว่าเจ้าตัวกับพัฒนาฝีเท้าจนก้าวขึ้นมาเป็นกองกำลังหลักของทีท เขาช่วยให้ บาเยิร์น คว้าแชมป์ บุนเดสลีกา และได้รับการโหวตจากแฟนบอลให้คว้ารางวัลนักเตะยอดเยี่ยมของสโมสร บาเยิร์น มิวนิค ไปครอง
แซร์จ นาบรี้ จารึกชื่อตัวเองเป็นนักเตะคนแรกในประวัติศาสตร์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ที่ทำได้ถึว 4 ประตูในช่วงครึ่งเวลาหลังของการแข่งขัน ในเกมที่ บาเยิร์น มิวนิค บุกถล่ม ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ 7-2 เมื่อคืนวันอังคารที่ผ่านมา นอกจากนี้ยังเป็นนักเตะคนที่ 2 ที่สามารถยิงได้ถึง 4 ประตูใส่ทีมจากอังกฤษ ต่อจาก ลิโอเนล เมสซี่ และเป็นนักเตะอีกคนที่ยิงในสนามแห่งใหม่ของ สเปอร์ส อย่าง ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ สเตเดี้ยม ได้ถึง 4 ประตู ซึ่ง นับตั้งแต่ที่สนาม ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ สเตเดี้ยม เปิดใช้เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา แฮร์รี่ เคน ดาวยิงตัวเก่งของทีม “ไก่เดือยทอง”ยิงที่สนามแห่งนี้ได้ทั้งสิ้น 4 ประตู แต่งแบ่งเป็น 2 ประตูใส่ แอสตัน วิลล่า, 1 ประตู ใส่ เซาธ์แฮมป์ตัน และ 1 ประตู ใส่ บาเยิร์น มิวนิค จน โทนี่ พูลิส ถึงกับต้องออกมาชมในฟอร์มอันยอดเยี่ยมของเขา
จากแข้งโดนบี้ที่เหมือนไม่มีราคา กลับกลายมาเป็น นาบรี้ ที่เจิดจรัสฉายแสงได้ในที่สุด ซึ่งฟอร์มของเขาไม่ได้ทำได้ดีแค่เกมเมื่อคืนอังคารที่ผ่านมา แต่เจ้าตัวกลายเป็นผู้สืบทอดสานต่อตำนาน ร็อบเบรี่ อย่าง อาร์เยน ร็อบเบน และ ฟร้องค์ ริเบรี่ ในตำแหน่งริมเส้นได้อย่างลงตัว ชนิดที่ ริเบรี่ ยังเคยออกมาให้สัมภาษณ์ว่าเขานี่แหละคือตัวแทนของตัว ริเบรี่ เอง ในฤดูกาลนี้เขาโชว์ฟอร์มสุดสะเด่าด้วยการลงช่วยเสือใต้รวมทุกรายการไปแล้ว 8 เกม ทำไป 5 ประตู กับอีก 4 แอสซิสต์ คงต้องมาติดตามกันต่อไปว่า นาบรี้ จะพาตัวเองไปได้ถึงระดับท็อปขนาดไหน แต่ที่แน่ ๆ เขาทำให้แฟน อาร์เซน่อล เสียดายไม่น้อยเลยทีเดียว